RMF ย่อมาจากคำว่า Retirement Mutual Fund หรือเรียกในชื่อไทยว่า “กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ” เป็นกองทุนรวมประเภทหนึ่ง (กองทุนรวม หมายถึงการนำเงินของผู้ลงทุนหลายๆ คนมารวมกัน แล้วมีมืออาชีพซึ่งก็คือ บริษัทจัดการ คอยบริหารจัดการเงินตามนโยบายการลงทุนที่กำหนดไว้) ซึ่งมีวัตถุประสงค์พิเศษแตกต่างจากกองทุนรวมทั่วไป คือ RMF เป็นเครื่องมือหนึ่งในการสะสมเงินไว้ใช้ในวัยเกษียณ ที่ทางการให้การสนับสนุนสิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ลงทุนเพื่อเป็นแรงจูงใจ เหมาะกับคนทุกกลุ่มที่ต้องการออมเงินเพื่อวัยเกษียณ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่ยังไม่มีสวัสดิการออมเงินเพื่อวัยเกษียณ เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) มารองรับ หรือมีสวัสดิการดังกล่าวแต่ยังมีกำลังออมเพิ่มมากกว่านั้นได้อีก
นโยบายการลงทุนของRMFมีนโยบายการลงทุนให้เลือกหลากหลายเหมือนกองทุนรวมทั่วไป ตั้งแต่กองทุนที่มีระดับความเสี่ยงต่ำ เน้นลงทุนในตราสารหนี้ เช่น พันธบัตร กองทุนที่มีระดับความเสี่ยงปานกลางที่อาจผสมผสานระหว่างการลงทุนในตราสารหนี้และตราสารทุน ไปจนถึงกองทุนที่มีระดับความเสี่ยงสูง เน้นลงทุนในตราสารทุน เช่น หุ้น ใบสำคัญแสดงสิทธิการซื้อหุ้น (warrant)
RMF มีข้อแตกต่างจากกองทุนรวมทั่วๆ ไปอย่างไร
1. หากลงทุนครบตามเงื่อนไขจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี
2. ไม่สามารถโอน จำนำ หรือนำหน่วยลงทุนไปเป็น หลักประกันได้
3. ไม่มีการจ่ายเงินปันผล
เงื่อนไขการลงทุนของ RMF เป็นอย่างไรเพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี การลงทุนใน RMF มีเงื่อนไขดังต่อไปนี้
• ต้องสะสมเงินอย่างต่อเนื่อง โดยซื้อหน่วยลงทุนของ RMF ไม่น้อยกว่าปีละ 1 ครั้ง
• ต้องลงทุนขั้นต่ำ 3% ของเงินได้ในแต่ละปี หรือ 5,000 บาท (แล้วแต่ว่าจำนวนใดจะต่ำกว่า)
• ลงทุนสูงสุดไม่เกิน 15% ของเงินได้ในแต่ละปี หรือไม่เกิน 500,000 บาท
• ต้องไม่ระงับการซื้อหน่วยลงทุนเกินกว่า 1 ปี ติดต่อกัน (ยกเว้นปีใดที่ไม่มีเงินไดก็ไม่ต้องลงทุน เนื่องจาก 3% ของเงินได้ 0 บาท เท่ากับ 0 บาท)
• การขายคืนหน่วยลงทุนทำได้เมื่อผู้ลงทุนอายุไม่ต่ำกว่า 55 ปี และลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี
สิทธิประโยชน์ทางภาษีของ RMF มีอะไรบ้าง
หากปฏิบัติตามเงื่อนไขการลงทุน ผู้ลงทุนใน RMF จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีถึง 2 ทางด้วยกัน คือทางที่ 1 เงินซื้อหน่วยลงทุนใน RMF จะได้รับยกเว้นภาษี เงินได้บุคคลธรรมดาตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 15% ของเงินได้ในแต่ละปี โดยเมื่อนับรวมกับ เงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) แล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท
ทางที่ 2 กำไรจากการขายคืนหน่วยลงทุน (capital gain) ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้
กองทุน LTF
LTE หมายถึง กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long Term Equity Fund) หรือเรียกย่อ ๆ ว่า LTF คือ กองทุนรวมตราสารแห่งทุนประเภทรับซื้อคืนหน่วยลงทุน (กองทุนเปิด) ที่มีนโยบายการลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ไม่น้อยกว่าร้อยละ65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน
- กองทุนรวมหุ้นระยะยาว เป็นกองทุนที่รัฐให้การส่งเสริมจัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะสนับสนุนการลงทุนในตลาดหุ้นให้มีเสถียรภาพด้วยการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเป็นเครื่องจูงใจในการลงทุน โดยกองทุนจะต้องจัดตั้งและจดทะเบียนภายในเดือนมิถุนายน พ.ศ.2550 และผู้ลงทุนต้องลงทุนภายในช่วงระยะเวลาไม่เกิน พศ.2559 ตามเงื่อนไขการลงทุนที่กฏหมายกำหนด เท่านั้น จึงจะมีสิทธิได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี
- LTF มีนโยบายเดียวคือลงทุนในหุ้น แต่อาจมีทั้งแบบจ่ายปันผลและไม่จ่ายปันผลก็ได้ ต้องลงทุนอย่างน้อย 5 ปีปฏิทินจึงจะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี สามารถนำไปยกเว้นภาษีเงินได้สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาทต่อปี
เงื่อนไขการลงทุนของ LTF เป็นอย่างไร
เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี การลงทุนใน LTF มีเงื่อนไขว่า เมื่อผู้ลงทุนซื้อ LTF แล้ว ต้องถือหน่วยลงทุนไว้ ไม่น้อยกว่า 5 ปี (นับตามปีปฏิทิน โดยเริ่มนับตั้งแต่ปีที่มีการลงทุนครั้งแรกเป็นปีที่ 1 และนับก้อนเงินที่ลงทุนแยกกันไปในแต่ละปี เช่น ลงทุนในระหว่างปี 2547 จะครบ 5 ปีตั้งแต่เดือนมกราคม 2551 ลงทุนในระหว่างปี 2548 จะครบ 5 ปี ตั้งแต่เดือนมกราคม 2552 เป็นต้นไป)
กองทุน ETF
ETF คือ กองทุนเปิดดัชนีที่จดทะเบียน และซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เปรียบเสมือนเป็นหุ้นตัวหนึ่ง ซึ่งมีนโยบายการลงทุนโดยมุ่งเน้นให้ได้อัตราผลตอบแทนเทียบเท่าดัชนีที่ใช้อ้างอิง โดยดัชนีที่ใช้อ้างอิงของ ETF แรกของไทย คือ SET 50 Index ซึ่งการที่ Equity ETF มีการลงทุนในหุ้นที่เป็นองค์ประกอบใน SET50 Index จะทำให้ผู้ลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนได้โดยการลงทุนหน่วยลงทุน ETF
ข้อมูลทางราคาของ ETF จะมีอยู่ 2 แบบด้วยกัน คือ
1.ราคาซื้อ ขาย (trading price) คือ ราคาซื้อ (bid) และราคาขาย (offer) ที่ปรากฎอยู่บนกระดานซื้อขาย ETF ซึ่งราคานี้จะถูกกำหนดโดยความต้องการซื้อ และความต้องการขาย ของผู้ลงทุน ETF ในตลาด
2.มูลค่าต่อหน่วย (net asset value: NAV) คือ มูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุนต่อหน่วย ซึ่งคำนวณจากราคาซื้อ ขายของ หุ้นที่เป็นองค์ประกอบใน SET50 Index ณ สิ้นวันทำการ แต่สำหรับ ETF แล้วบริษัทจัดการที่เป็นผู้จัดการกองทุน ETF จะมีการคำนวณและรายงานมูลค่าทรัพย์สินสุทธิโดยประมาณทุกนาทีตลอดเวลาทำการซื้อขาย ซึ่งมูลค่าทรัพย์สินสุทธิโดยประมาณนี้เรียกว่า Indicative NAV (INAV)
ผลตอบแทนของการลงทุนใน ETF
กำไรจากส่วนต่างของราคา (capital gain) โดยหากผู้ลงทุนที่สามารถซื้อหน่วย ETF ในราคาต่ำแล้วสามารถขายได้ในราคาสูงกว่าตอนที่ซื้อมา จะได้รับกำไรจากส่วนต่างของราคา
เงินปันผล (dividend) ผู้ลงทุนจะได้รับเงินปันผลจากการถือหน่วย ETF ซึ่งได้มาจากเงินปันผลของบริษัทที่เป็นองค์ประกอบของ SET50 Index โดยผู้จัดการกองทุนจะจัดสรรเงินปันผลหลังจากหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายของกองทุน
ประโยชน์ของการลงทุนใน ETF
1.ประโยชน์ต่อผู้ลงทุนรายย่อย เป็นทางเลือกใหม่ในการลงทุนที่มีการกระจายความเสี่ยงโดยใช้เงินลงทุนที่ไม่สูงมากนัก และเสียค่าธรรมเนียมตลอดจนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานค่อนข้างต่ำ ดังนั้น ETF จะเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดี สำหรับผู้ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯมาก่อน
2.ประโยชน์ต่อผู้ลงทุนสถาบัน ผู้ลงทุนสถาบันสามารถใช้กลยุทธ์การลงทุนใน ETF แบบ core/satellite investment strategy โดยลงทุนใน ETF ซึ่งมีนโยบายลงทุนตามดัชนีอ้างอิง เพื่อเปรียบเทียบผลการดำเนินงานกับดัชนีอ้างอิง (portfolio’s performance vs. benchmarks) และส่วนที่เหลือผู้ลงทุนสถาบันสามารถจะลงทุนในหุ้นรายตัว (individual stock) เพื่อหาผลตอบแทนจากการลงทุนเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ในช่วงเวลาที่ผู้ลงทุนมีเม็ดเงินลงทุนใหม่เพิ่งเข้ามา แต่ผู้ลงทุนยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกลงทุนในหุ้นตัวใด การลงทุนใน ETF เอาไว้ก่อนก็จะช่วยให้ผลการดำเนินงานของพอร์ตการลงทุนไม่เบี่ยงเบนไปจาก benchmarks มากจนเกินไป